ค่าดำเนินการจะถูกคิดตามราคาของเมนูนั้นๆ โดย

• ราคาอาหารไม่เกิน 20 บาท คิดค่าดำเนินการ เมนูละ 1 บาท
• ราคาอาหาร 21-100 บาท คิดค่าดำเนินการ เมนูละ 5 บาท
• ราคาอาหาร 101-300 บาท คิดค่าดำเนินการ เมนูละ 10 บาท
• ราคาอาหาร 300 บาทขึ้นไป คิดค่าดำเนินการ เมนูละ 15 บาท

ซึ่งของ Kitchen Hub จะคิดค่าดำเนินการต่อเมนู ตัวอย่างเช่น ใน 1 บิล ลูกค้าสั่ง 3 เมนู โดยมีราคา 20บาท, 55บาท, 90บาท จะคิด 1บาท+5บาท+5บาท = 11บาท
หมายเหตุ ค่าดำเนินการข้างต้น รวมภาษีมูลค่า 7% แล้ว

Kitchen Delivery เป็นบริการเดลิเวอรี่อาหาร จากร้านของคุณ ผ่านไรเดอร์ สู่ผู้บริโภค ในลักษณะเดียวกับแอปเดลิเวอรี่ทั่วไป ซึ่งจะแตกต่างด้วยจุดเด่นการคำนวณ GP ที่จะไม่หักส่วนแบ่งหนักเหมือนเจ้าอื่น โดย Kitchen Delivery จะแบ่งค่าดำเนินการรายเมนู เริ่มต้นเพียงเมนูละ 1 บาทเท่านั้น ในส่วนของค่าจัดส่ง ลูกค้าผู้สั่งอาหารจะเป็นฝ่ายจ่าย

ส่วน Kitchen Hub Center เป็นบริการอาหารที่จะต้องมีการดำเนินการด้านสูตรอาหารและวัตถุดิบ เทรนนิ่ง ให้กับครัวกลาง ในการจัดทำอาหาร และส่งในพื้นที่ที่สาขาตั้งอยู่ ซึ่งปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 2 สาขา คือ สาขาราชพฤกษ์ และสาขาสามย่าน ซึ่งจะมีกระบวนการและเงื่อนไขในการเข้าร่วมที่แตกต่างออกไป และรูปแบบการดำเนินงานและสิทธิประโยชน์ของร้านค้า ก็จะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน

เนื่องจากเราต้องการเอื้อประโยชน์ให้เพื่อนๆร้านค้าให้ได้มากที่สุด จึงไม่กำหนดขอบเขตพื้นที่ให้บริการของแอป เราขอเรียนให้ทางร้านค้าทราบว่า การที่ร้านค้าสมัครเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ เพื่อให้ทางแอปสามารถมีฐานข้อมูล และสามารถจัดสรรการบริการได้ง่ายขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอปและลงทะเบียนได้เลยที่ https://bit.ly/3EeaLGR

ลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง

• ยืนยัน otp
• กรอกข้อมูลร้าน เรียกว่า KYC
• ถ่ายบัตรประชาชนแนบไป
• สแกนใบหน้า
• ตัวอย่างอัดเสียงอัดคลิป
• กดปุ่มอัด สำนวน
• ใส่อีเมล ภายใน5นาที
• รหัสจะเข้าอีเมล เอาเลขไปกรอก
• หารูปใส่โปรไฟลร้าน และแบนเนอร์
• แอดมิน cmtool จะตรวจสอบร้านและอนุมัติ ภายใน x วัน

เครดิตใช้หักค่าดำเนินการรายเมนู เมื่อร้านค้าขายได้ รวมถึงใช้ตัดค่าจัดส่งหลังจากที่ร้านค้าได้รัจากลูกค้าโอนเข้าก่อนแล้ว ซึ่งร้านค้าสามารถเติมเครดิตเข้าไปเพื่อเตรียมคามพร้อมก่อนขายได้ โดยปัจจุบันมีด้วยกัน 2 วิธีคือ เติมผ่านบัญชีธนาคาร และเติมผ่าน QR Payment

ค่าดำเนินการรายเมนู คือค่าดำเนินการที่ทาง Kitchen Hub เรียกเก็บจากร้านค้า โดยจะถูกคิดตามเรทราคาขของเมนูนั้นๆ ซึ่งจะถูกกำหนดอย่างคงที่ เพื่อให้ร้านค้าสะดวกในการคำนวณ โดยมีค่ากำหนดดังนี้

• ราคาอาหารไม่เกิน 20 บาท คิดค่าบริการ 1 บาท
• ราคาอาหาร 21-100 บาท คิดค่าบริการ 5 บาท
• ราคาอาหาร 101-300 บาท คิดค่าบริการ 10 บาท
• ราคาอาหาร 300 บาทขึ้นไป คิดค่าบริการ 15 บาท

ตัวอย่างการคำนวณค่าดำเนินการ เช่น
ใน 1 บิล ลูกค้าสั่งข้าวผัดกะเพรา จานละ 50 บาท และชานมเย็น ราคา 19 บาท ร้านค้าจะถูกตัดเครดิตตามเรทราคาอาหาร โดยหักจากข้าวผัดกะเพรา 5 บาท และหักจากชานมเย็น 1 บาท โดยรวมแล้วในบิลนี้ Kitchen Hub จะเก็บค่าบริการ 6 บาทนั่นเอง (ยังไม่รวมค่าจัดส่ง)

ร้านค้าจะถูกหักค่าส่งเท่ายอดที่ลูกค้าจ่ายเข้ามา หมายความว่า ลูกค้าจะโอนค่าจัดส่งมาพร้อมค่าอาหารให้ร้านค้าก่อน และระบบจะหักค่าจัดส่งเท่ายอดที่ลูกค้าโอนส่วนค่าส่งมา หักออกจากเครดิตที่ร้านค้ามี เท่ากับว่าร้านค้าไม่ได้เสียเงินใดๆ ไป

Kitchen Hub สนับสนุนให้ครัวหลังบ้าน สามารถหารายได้ได้ง่ายๆ จึงคิดค่าดำเนินการเพียงนิดเดียว ร้านค้าจึงไม่ต้องตั้งราคาอาหารเผื่อโดนหักค่า GP เหมือนกับที่เคยขายบนแพลตฟอร์มอื่น ตั้งราคาง่ายๆ แค่นำราคาอาหารบวกกับค่าดำเนินการรายมนู ที่เริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถขายได้ถูกกว่าเจ้าอื่นนั่นเอง!

คุณสามารถเปลี่ยนชื่อร้านของคุณด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. กด ตั้งค่าร้านค้า ในหน้าร้านของคุณ บนแอป Kitchen Hub Merchant
2. กดเลือก ร้านค้า และข้อมูลร้านค้า
3. ลบชื่อร้านเดิมออก แล้วพิมพ์ชื่อร้านใหม่ที่คุณต้องการ เมื่อเรียบร้อยแล้ว กดบันทึกได้เลย!

ร้านค้าสามารถจัดการออเดอร์ที่รอค่าส่งงาน ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ คือ

1. ในหน้าค้นหาไรเดอร์ หากรอเป็นเวลานาน กด "ยกเลิกการค้นหาไรเดอร์"
2. ในหน้ารวมออเดอร์ ที่แท็บกำลังปรุง เลือกออเดอร์ที่ขึ้นว่า "กรุณาเรียกไรเดอร์"
3. กด "เรียกไรเดอร์" ในหน้าออเดอร์ จะเป็นการสร้างงานใหม่ในระบบไรเดอร์นั่นเอง

ร้านค้ามีตัวเลือกการจัดส่ง 2 ประเภท ดังนี้

1. การจัดส่งโดยพาร์ทเนอร์ เป็นการจัดส่งพื้นฐานสำหรับทุกร้านค้า โดยพาร์ทเนอร์หมายถึงพาร์ทเนอร์ไรเดอร์ที่เป็นพันธมิตรกับ Kitchen Hub ซึ่งค่าจัดส่งจะคำนวณโดยพาร์ทเนอร์
2. การจัดส่งโดยร้านค้า เป็นตัวเลือกการจัดส่งเมื่อร้านค้ามีไรเดอร์ของตนเอง โดยจะสามารถกำหนดค่าส่งได้เองด้วย ในระยะทาง 0 ถึง 15 กิโลเมตรหรือมากกว่า ตามที่ร้านค้าสะดวกวิ่งส่งได้นั่นเอง

ร้านค้าสามารถทำการจัดส่งเองได้ หรือมีไรเดอร์เป็นของร้านเองได้ โดยการดาวน์โหลดแอป Kitchen Hub Rider ในเครื่องของผู้จัดส่ง สมัครและยืนยันตัวตน แล้วนำรหัสของผู้จัดส่ง ไปผูกกับร้านในแอป Kitchen Hub Merchant โดยรหัสผู้จัดส่งจะอยู่มุมขวาบนในหน้าแอป Rider นำมากรอกในแอป Merchant ที่เมนูการจัดส่ง > การจัดส่งโดยร้านค้า > ตั้งค่าไรเดอร์ > เพิ่มไรเดอร์ และกรอกรหัสได้เลยเพื่อเป็นการจับคู่ ร้านค้าสามารถตั้งราคาค่าส่งในรัศมีที่กำหนด แล้วพร้อมขายได้เลย

ร้านค้าสามารถกำหนดราคาค่าจัดส่งเองได้ ในกรณีที่มีไรเดอร์เป็นของร้านเอง ในระยะทาง 0 ถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบัน Kitchen Hub มีแคมเปญค่าจัดส่งโดยพาร์ทเนอร์ที่ 29 บาท ร้านค้าสามารถร่วมแคมเปญได้โดยกำหนดค่าจัดส่งมาตฐานเดียวกันคือ 0 ถึง 15 กิโลเมตร ราคาเดียว 29 บาท หรือสามารถตั้งราคาได้ตามที่ร้านสะดวกจัดส่งเอง

ร้านค้าอาจพลาดการแจ้งเตือนของแอป หรือเสียงออเดอร์ เนื่องจากการตั้งค่าโทรศัพท์ของร้านค้า ซึ่งร้านค้าสามารถเข้าที่การตั้งค่าของโทรศัพท์ > การตั้งค่าการแจ้งเตือน > เลือกหาแอป Kitchen Hub Merchant แล้วอนุญาตหรือเปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อไม่พลาดทุกการแจ้งเตือนออเดอร์นั่นเอง
* ทั้งนี้ รูปแบบการตั้งค่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นอุปกรณ์

ปัจจุบัน Kitchen Hub Merchant มีตัวเลือกให้ร้านค้าสามารถเลือกรับเงินค่าออเดอร์ได้ 3 ช่องทางคือ

1. รับชำระผ่านบัญชีธนาคาร : ร้านค้าสามารถเข้าไปกำหนดค่าบัญชีที่ใช้รับ ระบุข้อมูลธนาคาร ชื่อบัญชี และเลขที่บัญชี
2. รับชำระผ่านบัญชีพร้อมเพย์ : สามารถกรอกข้อมูลหมายเลขพร้อมเพย์และชื่อบัญชีพร้อมเพย์ เพื่อเปิดใช้
3. รับชำระเงินสด : ในที่นี้เป็นการชำระปลายทางเรียกเก็บจากลูกค้า แต่ไรเดอร์พาร์ทเนอร์จะเป็นฝ่ายสำรองจ่ายให้ร้านก่อนเลย